Tuesday, July 7, 2015

ทฤษฎีพหุปัญญา


ทฤษฎีพหุปัญญา 
8 Multiple Intelligences 

ศาสตราจารย์โฮเวิร์ด การ์ดเนอร์ (Howard Gardner**) แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด เป็นผู้เสนอ "ทฤษฎีพหุปัญญา" (The Theory of Multiple Intelligences*) ซึ่งมีแนวคิดว่าความฉลาดของมนุษย์ แบ่งได้ 8 ด้าน 

ประกอบด้วยความฉลาดด้านภาษา (Linguistic) ความฉลาดด้านมิติสัมพันธ์ (Spatial)ความฉลาดด้านคณิตศาสตร์และตรรกะ (Logical-Mathematical) ความฉลาดด้านมนุษย์สัมพันธ์ (Intrapersonal)ความฉลาดด้านดนตรี (Musical)ความฉลาดด้านเข้าใจตนเอง (Interpersonal)ความฉลาดด้านร่างกาย (Bodily –Kinesthetic) ความฉลาดด้านรู้จักธรรมชาติ (Naturalistic)

ซึ่งแต่ละด้านต่างก็มีความสำคัญเท่าเทียมกัน เด็กทุกคนคือส่วนผสมของความฉลาดทั้ง 8 ด้าน การยึดถือตามความเชื่อเดิมๆ ที่นิยามว่า "เด็กเก่ง" คือ เด็กที่มีความฉลาดเพียงบางด้าน เช่น ด้านคณิตศาสตร์ ด้านภาษา นั้นอาจไม่เพียงพอตามหลักทฤษฎีพหุปัญญา (8 Multiple Intelligences)

หากแต่แง่คิดที่แฝงในทฤษฎีนี้เชื่อว่า เด็กแต่ละคนมีความฉลาดแต่ละด้านที่แตกต่างกันไป และมีรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะคน ดังนั้น คุณพ่อ คุณแม่ และคุณครูจึงควรพยายามค้นหาจุดเด่นของเด็กว่ามีความฉลาดทางด้านใดบ้าง และมีรูปแบบอย่างไร เพื่อทำความเข้าใจและสามารถช่วยส่งเสริมให้เขามีพัฒนาการตามแบบฉบับของเขาเองได้อย่างเหมาะสม

ความฉลาด 8 ด้านตามทฤษฎีพหุปัญญา (8 Multiple Intelligences)

1. ความฉลาดด้านภาษา (Linguistic)

เด็กที่มีความถนัดด้านภาษาสามารถเรียนรู้คำศัพท์ใหม่ๆ ได้อย่างรวดเร็ว พวกเขาสนุกกับการต่อคำศัพท์และเกมอื่นๆ ที่คล้ายคลึงกัน ในขณะเดียวกันก็ชื่นชอบโคลงกลอน เพลง และนิทาน เด็กกลุ่มนี้มีแนวโน้มที่จะเป็นนักพูดและนักเล่าเรื่องที่เก่ง

จุดเด่นของเด็กที่มีความฉลาดด้านภาษา คือ จำและคิดเป็นภาษาหรือคำศัพท์ อธิบายเรื่องที่เกี่ยวกับตนเองได้ดี

2. ความฉลาดด้านคณิตศาสตร์และตรรกะ (Logical-Mathematical)

ความฉลาดทางด้านนี้เกี่ยวกับความสามารถในการนำตรรกะมาแก้ไขปัญหา จำแนกสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างเป็นระเบียบแบบแผนได้ นอกจากนั้น ยังชื่นชอบการแก้โจทย์คณิตศาสตร์ และเรียนรู้ปรากฎการณ์ทางวิทยาศาสตร์ต่างๆ อีกด้วย เด็กที่ฉลาดทางด้านนี้จะชอบเล่นเกมส์ที่ต้องแก้ปัญหาทุกชนิด และสามารถเชื่อมโยงเหตุและผลของสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้อย่างไม่ยากเย็นนัก

จุดเด่นของเด็กที่มีความฉลาดด้านคณิตศาสตร์และตรรกะ คือ เชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างเหตุและผลได้ดี เมื่อเผชิญสถานการณ์ที่ซับซ้อน เด็กสามารถแยกแยะ จัดลำดับและเข้าใจรูปแบบของสิ่งที่เกิดขึ้น

3. ความฉลาดด้านดนตรี (Musical)

เด็กที่ฉลาดด้านดนตรีจะมีความว่องไวต่อเสียง และสามารถเชื่อมโยงระหว่างเพลงและเครื่องดนตรีได้ พวกเขามักจะชอบร้องเพลงและใช้เทคนิคในการเรียนรู้ผ่านบทเพลงและจังหวะต่างๆ ได้

จุดเด่นของเด็กที่มีความฉลาดด้านดนตรี คือ พวกเขามักหลงเสน่ห์ดนตรีและเสียงเพลงทำให้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตเป็นคำคล้องจองหรือเป็นแบบแผน ในขณะที่คนอื่นทำไม่ได้พวกเขาซึมซับและจดจำข้อมูลเป็นแบบแผนและบทกลอนหรือคำคล้องจอง

4. ความฉลาดด้านร่างกาย (Bodily-Kinesthetic)

ความฉลาดด้านนี้มีความหมายตรงกับชื่อ คือ เป็นเด็กที่แข็งแรง สามารถทำกิจกรรมและเคลื่อนไหวได้อย่างแคล่วคล่องว่องไว ชอบแสดงออก และสนุกกับกิจกรรมเกี่ยวกับศิลปะและงานฝีมือ

จุดเด่นของเด็กที่มีความฉลาดด้านร่างกาย คือ พวกเขาตอบสนองต่อสิ่งเร้าทางกายภาพได้ดีพวกเขาใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่และกล้ามเนื้อมัดเล็กได้อย่างยอดเยี่ยมพวกเขามักเคลื่อนไหวตลอดเวลาที่เรียนรู้ (ทำให้อาจดูเหมือนนั่งนิ่งๆ ไม่ได้)

5. ความฉลาดด้านมิติสัมพันธ์ (Spatial)

เด็กที่มีความฉลาดด้านนี้จะคิดและสื่อสารด้วยภาพ พวกเขาชอบเล่นเกมส์ต่อรูปภาพ เช่น จิ๊กซอว์ เปี่ยมล้นด้วยจินตนาการ และชื่นชอบงานศิลปะ นอกจากนี้ พวกเขายังจดจำทิศทางได้ดี และอ่านแผนที่เก่ง

จุดเด่นของเด็กที่มีความฉลาดด้านมิติสัมพันธ์ คือ เขาสามารถจัดการสิ่งต่างๆ ได้ในหัว และวิเคราะห์ได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเขาสามารถจินตนาการและสร้างโลกใหม่ขึ้นมาในความคิด (หรือฝันกลางวัน)เขาสามารถจัดการและเล่นสิ่งของต่างๆ ได้ดี และมีทักษะในการใช้มือที่ดี

6. ความฉลาดด้านมนุษยสัมพันธ์ (Interpersonal)

เด็กที่ฉลาดด้านนี้จะมีมนุษยสัมพันธ์ดีเยี่ยม พวกเขาจึงเป็นคนที่มีเพื่อนมาก ชอบทำงานร่วมกับคนอื่น และมีความสามารถในการเป็นผู้นำสูง

จุดเด่นของเด็กที่มีความฉลาดด้านมนุษยสัมพันธ์ คือ เขาชอบเล่นเป็นกลุ่มเขาสามารถนำผู้อื่นได้ดีเขาสนใจความรู้สึกและมักเห็นอกเห็นใจคนอื่น

7. ความฉลาดด้านเข้าใจตนเอง (Intrapersonal)

ในทางตรงกันข้าม เด็กที่เข้าใจตนเองชอบทำงานเพียงลำพัง พวกเขามักเป็นตัวของตัวเอง และแม้ว่าจะไม่ค่อยเข้าสังคม แต่พวกเขาก็เชื่อมั่นในความสามารถของตนและมีแรงจูงใจในการทำสิ่งต่างๆ

จุดเด่นของเด็กที่มีความฉลาดด้านเข้าใจตนเอง คือ พวกเขาเก่งในการทำงานให้ไปถึงเป้าหมายชัดเจนว่าตนเองชอบหรือไม่ชอบอะไรรักความยุติธรรม

8. ความฉลาดด้านรู้จักธรรมชาติ (Naturalistic)

เด็กกลุ่มนี้เป็นเด็กที่ชอบผจญภัยในโลกกว้าง (นอกบ้าน) มาตั้งแต่เด็ก จึงมักเห็นเขาชอบเตร็ดเตร่เพื่อสำรวจสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ พวกเขายังสนใจในเรื่องของต้นไม้และสัตว์ต่างๆ อย่างมาก

จุดเด่นของเด็กที่มีความฉลาดด้านรู้จักธรรมชาติ คือ สังเกตเห็นรูปแบบและคุณลักษณะเฉพาะของสิ่งมีชีวิตต่างๆชอบจัดระบบสิ่งของที่สะสมไว้มีความสามารถในการแยกแยะระหว่างสิ่งของในหมวดเดียวกันและสังเกตเห็นความแตกต่างเล็กๆ น้อยๆ

ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.ฉลาดรอบด้าน.com/intelligences.php

ขอบคุณภาพประกอบจาก อินเตอร์เน็ต

เราจะรู้ได้อย่างไรว่าลูกถนัดอะไร?

มีคำถามยอดฮิตจากพ่อแม่หลายๆท่านว่า "เราจะรู้ได้อย่างไรว่าลูกถนัดอะไร? "
คุณหมอจาก ชมรมจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นแห่งประเทศโทย มีคำตอบคร่าวๆดังนี้ค่ะ ...
หลายท่านคงอยากที่จะทราบว่า “แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าลูกของฉันจะถนัด หรือ ชอบ หรือ มีพรสวรรค์ในด้านใด”
มีคำตอบที่ง่าย และ สั้นที่สุด ก็คือพ่อแม่ต้อง “ สังเกต ” เอง !!!
โดยทุกท่านต้องลองสังเกตดูว่าลูกของเรานั้นทำอะไรแล้วมีความสุข มีสมาธิและความอดทน สามารถนั่งทำกิจกรรมนั้นๆได้นานไม่รู้เบื่อ
และ มีการพัฒนาอย่างรวดเร็วในเรื่องนั้นๆ โดย เผลอๆอาจจะแซงเด็กคนอื่นๆที่อยู่ในวัยเดียวกันอีกต่างหาก นั่นแหละครับ ให้สงสัยว่าใช่ไว้ก่อน
แต่สิ่งหนึ่งที่ท่านต้องพึงระวัง คือ ความชอบหรือความถนัดนั้นส่วนใหญ่จะเริ่มเห็นได้เด่นชัดเมื่อเด็กอายุเข้าสู่ช่วงท้ายของวัยอนุบาล (ประมาณ 4 ขวบขึ้นไป) เนื่องจากเป็นวัยที่พัฒนาการด้านต่างๆทั้งภาษา กล้ามเนื้อ อะไรต่อมิอะไร นั้นพร้อมที่จะทำกิจกรรมต่างๆ ประกอบกับเด็กในวัยนี้จะมีประสบการณ์ในการทำกิจกรรมต่างๆมาพอสมควร เช่น เขียนหนังสือ นับเลข วาดรูป ร้องเพลง เล่นกับเพื่อน ฯลฯ
และที่สำคัญมากที่สุดคือ เด็กในวัยนี้จะเป็นวัยที่ “ช่างเลือก” คือ บอกได้ว่าตัวเอง ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร อยากทำอะไร ไม่อยากทำอะไร ซึ่งจะทำให้ง่ายต่อการสังเกต
เคยมีผู้ปกครองหลายท่านมาบ่นให้ผมฟังว่า พยายามสังเกตมานานว่าลูกมีพรสวรรค์ด้านไหน แต่ไม่เห็นเจอเลย วันๆเห็นแต่นั่งดูการ์ตูนกับเล่น tablet” ก็ต้องขอเรียนว่านอกจากการสังเกตแล้ว การพาลูกออกไปทดลองทำกิจกรรมต่างๆนั้นก็มีความสำคัญ เพราะต้องอย่าลืมว่าเด็กเล็กๆเองก็ไม่รู้หรอกว่าในโลกนี้มันมีอะไรให้ทำบ้าง
ดังนั้นผู้ปกครองควร หาเวลาพาลูกๆออกไปทำกิจกรรมที่หลากหลาย เพื่อค้นหาความชอบและความถนัดของตัวเอง
ซึ่งหากถามว่าแล้วควรออกไปทำอะไรบ้าง ผมขอแนะนำว่าให้ทดลองตาม “ทฤษฏีพหุปัญญา (Multiple intelligences ของ Howard Gardner” ครับ
ซึ่งทฤษฏีนี้เค้าว่าไว้อย่างไร จะขอขยายความในครั้งต่อไป เพราะเดี๋ยวบทความจะยาวเกิน กลัวไม่มีคนอ่าน (5555) หรือ หากท่านใดใจร้อน ลองหาอ่านใน google ไปพลางๆก่อนได้ครับ
เนื่องจากเด็กแต่ละคนนั้นมีความถนัดและความชอบที่แตกต่างกัน ดังนั้นบ่อยครั้งที่ความคาดหวังของผู้ใหญ่นั้นมักจะไปขัดกับความถนัดและความชอบของเด็ก โดยเฉพาะในสังคมที่ผลิตคนแบบ “เสื้อโหล”
ดังนั้นการที่เรารู้ว่าลูกเราเป็นเด็กที่มีความชอบหรือความถนัดด้านไหนจะช่วยให้เราเข้าใจเขา เวลาที่เขางอแงหรือไม่อยากทำอะไรบางอย่าง เพราะบางครั้งมันเกิดจาก”ความไม่ถนัด” ไม่ใช่จาก “ความ ขี้เกียจ”
และที่สำคัญที่สุดคือเราไม่จำเป็นที่จะต้องเลี้ยงให้ลูกเก่งไปเสียทุกอย่างเพราะอย่าลืมว่าลูกเรานั้นเป็น”มนุษย์”ครับไม่ใช่ “ยอดมนุษย์”
ที่มา ชมรมจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นแห่งประเทศโทย
โปรดติดตามโพสต์ต่อไป เรื่อง ทฤษฏีพหุปัญญา Multiple intelligences ของ Howard Gardner +++

Wednesday, June 10, 2015

Brain Based Learning คือ ?



Brain Based Learning คือ การใช้ความรู้ความเข้าใจ
ที่เกี่ยวข้องกับสมอง เป็นเครื่องมือในการออกแบบ
กระบวนการเรียนรู้และกระบวนการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
เพื่อสร้างศักยภาพสูงสุดในการเรียนรู้ของมนุษย์...
.
การจัดการเรียนการสอนตามหลัก BBL
1. การจัดการเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ที่แท้จริงและถาวรนั้
จะต้องจัดให้ครบองค์ประกอบทั้ง 3 ส่วน ได้แก่ การรับรู้
การบูรณาการความรู้ และการประยุกต์ใช้ เพื่อเป็นการเชื่อมโยงความรู้สู่การปฏิบัติจริงในวิถีชีวิต
.
2. ครูผู้สอนจะต้องมีข้อมูล และรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล
คิด และจัดกิจกรรมเพื่อพัฒนาความถนัด/ความสามารถ
หรือความเก่งให้เก่งมากยิ่งขึ้น รวมทั้งการพัฒนาด้านอื่นๆ อีก
ให้มีความเก่งหลายๆ ด้าน เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้แสดงออก
ถึงความสามารถหรือความเก่งสู่สาธารณชน โดยอาจจัดเวที
ให้แสดงอย่างอิสระ
.
3. การจัดการเรียนการสอนที่ดี ครูต้องมีความเข้าใจทักษะ
ที่เกี่ยวโยงกับความสามารถพิเศษของสมองแต่ละซีก
สมองซีกซ้ายสั่งการทำงานเกี่ยวกับ คำ ภาษา ตรรก ตัวเลข/จำนวน ลำดับ ระบบการคิดวิเคราะห์ และการแสดงออก เป็นต้น สมองซีกขวาจะสั่งการเกี่ยวกับจังหวะ ดนตรี ศิลปะ จินตนาการ
การสร้างภาพ การรับรู้ การเห็นภาพรวม ความจำ
ความคิดสร้างสรรค์ เป็นต้น
.
4. ควรจัดเนื้อหาที่มีความหลากหลายครอบคลุมทุกมิติ
ของชีวิตมนุษย์ กระบวนการเรียนรู้มีลักษณะหลากหลายร่วมกัน
ในลักษณะผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง แหล่งการเรียนรู้หลากหลาย เช่น เรียนรู้จากสื่อธรรมชาติ จากคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่
จากแหล่งงานอาชีพของชุมชน จากการค้นคว้าทางเทคโนโลยี ฯลฯ
.
5. ในกระบวนการเรียนรู้นั้น ขณะที่ผู้เรียนเรียนรู้นั้น
อาจเป็นแค่การรับรู้ แต่ยังไม่เข้าใจ ความเข้าใจอาจเกิดขึ้น
ภายหลังจากที่ผู้เรียนสามารถมองเห็นถึงความหมาย
และความเชื่อมโยงสัมพันธ์กันถึงสิ่งต่างๆ ที่ตนเองรับรู้
จากแหล่งความรู้ที่หลากหลาย ในระดับที่สามารถอธิบาย
เชิงเหตุผลได้ ซึ่งบางครั้งการสอนในชั้นเรียนเมื่อจบลง
บางบทเรียนไม่สามารถทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้
เนื่องจากการสอนนั้นไม่สอดคล้องกับประสบการณ์เดิมของผู้เรียน
.
6. บางครั้งการจำเป็นสิ่งสำคัญและมีประโยชน์ แต่การสอน
ที่เน้นการจำไม่ก่อให้เกิดความเชื่อมโยงให้เกิดการเรียนรู้
และบางครั้งเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาความเข้าใจ ถ้าครูไม่ได้
ศึกษาลีลารูปแบบการเรียนรู้ของผู้เรียนแต่ละประเภทว่า
มีความชื่นชอบ ความถนัด วิธีการเรียนรู้ หลักการเรียนรู้
ที่มีประสิทธิภาพ และจัดกิจกรรมการสอนให้สอดคล้องกับ
ผู้เรียนแต่ละประเภท จะส่งผลต่อการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ
เช่นเดียวกัน
.
7. ครูจำเป็นต้องใช้กิจกรรมที่เป็นสถานการณ์ในชีวิตประจำวัน
ประกอบด้วย การสาธิต การทำโครงงาน ทัศนศึกษา การรับรู้
ประสบการณ์ด้วยการมองเห็นของจริง การเล่าเรื่อง ละคร
และการมีปฏิสัมพันธ์ต่อคนหลายๆ ประเภท การเรียนแบบ
มุ่งประสบการณ์ทางภาษาสามารถเรียนรู้ได้ในกระบวนการ
โดยผ่านเรื่องหรือการเขียน
.
8. ควรสร้างสถานการณ์และสิ่งแวดล้อมให้ปลอดภัย
เพื่อการเรียนรู้ โดยผ่านการเล่นแบบท้าทาย การเสี่ยง
ความสนุกสนาน เป็นสิ่งจำเป็นที่ทำให้เกิดการเรียนรู้
การถูกทำโทษอันเนื่องมาจากความผิดพลาดจะทำให้เป็นอุปสรรคต่อการเรียนรู้ ครูจึงไม่ควรลงโทษผู้เรียนในการเข้าร่วม
กิจกรรมที่ให้ผู้เรียนเผชิญกับสถานการณ์แวดล้อมที่กระตุ้น
การเรียนรู้
.
9. ผู้เรียนมีความแตกต่างกันเกี่ยวกับความสามารถ
ทางสติปัญญา ความสามารถความเก่งของมนุษย
คือ ทฤษฎีพหุปัญญา ความเป็นคนเก่งคืออะไร
มีคำตอบมากมายหลายรูปแบบ แต่สรุปรวมได้ว่า
คนเก่งคือผู้มีความสามารถด้านใดด้านหนึ่งเฉพาะด้าน
หรือหลาย ๆ ด้าน ที่แสดงออกถึงความสามารถได้อย่าง
เป็นที่ประจักษ์
.
ขอขอบคุณเนื้อหาที่เผยแพร่ค่ะ...
https://www.gotoknow.org/posts/427696

Tuesday, June 9, 2015

พ่อแม่รังแกฉัน


บาป 14 ประการของบิดามารดา โดย ว.วชิรเมธี

ขอบคุณภาพต้นฉบับ Workpoint1

สอนลูกให้รู้จักคุณค่าของเงิน



ไปพบกับ 20 ข้อ ที่ผู้ปกครองควรสอนลูก เรื่องของ "เงิน"

เมื่ออายุ 3-5 ขวบ
1. ให้เขารู้ว่า คนเรา ต้องการเงิน เพื่อซื้อสิ่งของ
2. ให้เขารู้ว่า คนเรา จะมีเงิน ต้องทำงานเพื่อแลกมา
3. ให้เขารู้ว่า บางครั้ง เราต้องรู้จักรอ ก่อนที่จะซื้ออะไรที่เราต้องการ
4. ให้เขารู้ว่า มันมีความแตกต่างระหว่าง สิ่งที่ต้องการ กับ สิ่งที่จำเป็น

เมื่ออายุ 6-10 ขวบ
5. ให้เขารู้ว่า บางครั้งเขาต้องเลือกว่าจะใช้เงินไปกับอะไร
6. ให้เขารู้ว่า การซื้อที่ดี ควรเปรียบเทียบราคาก่อนที่จะซื้อ
7. ให้เขารู้ว่า การสั่งซื้อทางออนไลน์อาจมีอันตรายและอาจแพงเกินจริง
8. ให้เขารู้ว่า การเอาเงินไปฝากธนาคาร มันปลอดภัย และให้ดอกเบี้ย

เมื่ออายุ 11-13 ปี
9. ให้เขารู้ว่า ทุกครั้งที่ได้เงินมา ต้องแบ่งบางส่วนมาเพื่อออม
10. ให้เขารู้ว่า การใส่รหัส บัตรเครดิต และข้อมูลส่วนตัว ออนไลน์ อาจถูกคนอื่นขโมยข้อมูลได้
11. ให้เขารู้ว่า การออมก่อน รวยกว่า จากพลัง ดอกเบี้ยทบต้น
12. ให้เขารู้ว่า การใช้บัตรเครดิต ก็คือการกู้เงินมาใช้

เมื่ออายุ 14-18 ปี
13. ให้เขารู้ว่า แต่ละมหาวิทยาลัย ค่าใช่จ่าย ค่าเทอม ไม่เท่ากัน
14. ให้เขารู้ว่า อย่าใช้บัตรเครดิตซื้อของที่ไม่มีปัญหาหาเงินมาจ่ายทีหลัง
15. ให้เขารู้ว่า มันมีภาษีนะ!!
16. ให้เขารู้ว่า ดีกว่าธนาคาร มันยังมีกองทุนรวม (*แปลงให้เข้ากับคนไทย)

เมื่ออายุ 19 ปีขึ้นไป
17. ให้เขารู้ว่า จงใช้บัตรเครดิตไม่ให้เกินเงินที่หาได้ในแต่ละเดือน
18. ให้เขารู้ว่า การทำประกัน เป็นเรื่องจำเป็น
19. ให้เขารู้ว่า ควรมีเงินออมฉุกเฉิน เพื่อให้ใช้จ่ายอย่างน้อย 3 เดือน ของรายจ่ายรายเดือน
20. ให้เขารู้ว่า เมื่อคิดจะลงทุน ควรคิดถึง ความเสี่ยง และ ค่าใช้จ่าย ที่จะตามมา

เนื่องสิ่งอื่นใด สอนให้เขาเป็นคนดี หาเงินด้วยวิธีสุจริต ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ด้วยนะครับ

ขอบคุณคำแปลจากคุณ Mr.Messenger
แปลจากบทความต้นฉบับใน moneyasyougrow.org

Saturday, June 6, 2015

การให้คำชมเชย


เรื่องเล่าจากห้องเรียนครูปุ้ม

หลายครั้งที่ผู้ปกครองอาจเห็นครูปุ้มหรือบทความต่างๆ พูดถึง หรือย้ำเตือนเกียวกับ “การให้คำชมเชย” เด็กๆ เมื่อเด็กๆ ทำดี มีพฤติกรรมที่เหมาะสม เพื่อให้พฤติกรรมนั้นคงอยู่ และเกิดขึ้นต่อไปสม่ำเสมอ

วันนี้ครูปุ้มจึงอยากแนะนำเทคนิคการให้คำชมเชยแก่เด็กๆ เพื่อให้คำชมนั้นมีประสิทธิภาพมากขึ้นค่ะ

::ระบุพฤติกรรมที่เด็กทำลงไปในคำชม::
เราควรบอกให้เด็กๆ ได้รู้ว่า พฤติกรรมไหน เป็นพฤติกรรมที่ดี แทนการให้คำชมแบบลอยๆ เช่น “เก่งจัง”, “ดีมาก” เพื่อให้เด็กรับรู้ได้ชัดเจน ตรงประเด็นว่า .. อ๋อ นี่ใช่มั้ย สิ่งที่หนูควรทำ
ยกตัวอย่างเช่น .. วันนี้หนูทำการบ้านเสร็จหมดแล้ว เก่งจังเลยค่ะ // โอ้โห! หนูทานข้าวเองหมดถ้วยเลย เยี่ยมมากค่ะ // แม่ชอบเวลาที่หนูแบ่งของเล่นให้น้องจังเลยค่ะ // คนเก่งของแม่ ช่วยแม่เก็บของสะอาดเอี่ยมเลย

::ชื่นชมที่การกระทำ แทนผลของการกระทำ::
เราควรให้คำชมเชยที่การกระทำของเด็กๆ มากกว่าผลงาน แม้ผลงานที่ออกมาจะยังต้องพัฒนาอีกมาก แต่อย่างน้อย การชื่นชมที่พฤติกรรมจะทำให้เด็กเกิดแรงจูงใจ มีความพยายามในการทำพฤติกรรมที่ดีเพื่อพัฒนาผลงานนั้นๆ ต่อไป เช่น “ว้าว แม่เห็นหนูพยายามใส่บล็อค เยี่ยมมากเลยค่ะ”

::คำชม คือ คำชม ไม่มีชมมาก ชมน้อย ไม่ต้องให้คะแนน ไม่ต้องมี “แต่” ::
สิ่งที่เด็กแสดงออกมา อาจจะไม่ได้สมบูรณ์แบบ 100% ซึ่งเราอาจจะเลือกเอาจุดดีของพฤติกรรมนั้นมาชมเชย และการที่เราให้คำชมแก่เด็กที่แสดงพฤติกรรมนั้นๆ นั่นหมายถึง เราเองได้พิจารณาแล้วว่า พฤติกรรมนั้นเป็นพฤติกรรมที่ดี ที่เหมาะสม เราไม่จำเป็นต้องให้เกรดพฤติกรรม หรือสร้างเงื่อนไขใดๆ เพิ่มเติม
ดังนั้น คำที่ควรหลีกเลี่ยง เช่น “หนูระบายสีสวยจัง แต่คราวหน้าควรใช้สีมากกว่านี้นะ” แต่อาจใช้เป็น “แม่ชอบที่หนูใช้สีชมพูกับดอกไม้และสีเขียวกับใบไม้จ้ะ”

::แสดงสีหน้า ท่าทาง และอารมณ์อย่างจริงใจ::
การแสดงออกทางสีหน้า เป็นการสื่อสารประเภทหนึ่งค่ะ ดังนั้น สีหน้าและอารมณ์ของเราควรจะไปด้วยกันกับคำชม เด็กๆ คงรู้สึกแปลก ถ้าพ่อหรือแม่กำลังชมเค้า แต่สีหน้าบึ้งตึง หรือ ปากชมแต่สายตาจับจ้องอยู่ที่สมาร์ทโฟนในมือค่ะ

::หลีกเลี่ยงการเปรียบเทียบในคำชม::
คนเราแต่ละคนมีความสามารถที่แตกต่างกันไป พฤติกรรมที่เด็กคนหนึ่งทำดี อาจพิจารณาเป็นจุดแข็งของเด็กคนนั้น ซึ่งเราควรหลีกเลี่ยงในการเปรียบเทียบสิ่งนั้นๆ กับคนอื่น
ดังนั้น คำที่ควรหลีกเลี่ยง เช่น “เก่งมากจ้ะ อีกนิดเดียวก็ระบายสีเก่งเหมือนพี่ชายแล้ว” แต่อาจจะใช้ว่า “แม่ภูมิใจที่เห็นหนูตั้งใจระบายสี” แทนค่ะ

ผู้ใหญ่อย่างเรายังรู้สึกดีเวลาได้รับคำชมจากหัวหน้างาน เพื่อน หรือคนในครอบครัว .... เด็กๆ ก็เช่นกันค่ะ 

ครูปุ้ม ฐิติพร สุวณิชย์
นักจิตวิทยาพัฒนาการ
โรงพยาบาลบี เอ็น เอช


เด็กพูดไม่ชัด



'อย่างไร...ที่เรียกว่า พูดไม่ชัด'

มีผู้ปกครองหลายท่านสงสัยว่า

"เด็กเล็ก หรือ เด็กที่เริ่มหัดพูด แต่มีการพูดไม่ชัดนั้น ถือว่าผิดปกติหรือไม่?"

คำตอบคือ ยังไม่นับว่า เป็นความผิดปกติค่ะ เพราะเป็นการพูดไม่ชัดตามธรรมชาติ และเมื่อเด็กเริ่มโตขึ้น โครงสร้าง กล้ามเนื้อ การทำงานของอวัยวะที่ใช้ในการพูด การฟัง การเรียนรู้ อายุและประสบการณ์ มีความพร้อมครบถ้วนแล้ว เด็กจะสามารถพัฒนาการพูดออกเสียงได้อย่างชัดเจน

"เกณฑ์ในการประเมินว่า เด็กพูดไม่ชัด เป็นอย่างไร"

คำตอบคือ การประเมินว่าเด็กคนใดพูดไม่ชัดและจำเป็นต้องได้รับการแก้ไข อาจใช้เกณฑ์ดังต่อไปนี้

อายุ 2 ปี ถึง 2 ปี 6 เดือน
เสียงพยัญชนะ ม น ห ย ค อ

อายุ 2 ปี 6 เดือน ถึง 3 ปี
เพิ่มเสียงพยัญชนะ ว บ ก ป

อายุ 3 ปี ถึง 3 ปี 6 เดือน
เพิ่มเสียงพยัญชนะ ฟ ต ท ด ล จ ง
เสียงสระ และเสียงวรรณยุกต์ ทุกเสียง

อายุ 3 ปี 6 เดือน ถึง 4 ปี
เพิ่มเสียงพยัญชนะ พ ช ส
และเสียงตัวสะกดทุกเสียง

อายุ 7 ปีขึ้นไป
เพิ่มเสียงพยัญชนะ ร

(ที่มา : ชุดเผยแพร่ความรู้ความผิดปกติของการสื่อความหมาย สมาคมโสตสัมผัสและการแก้ไขการพูดแห่งประเทศไทย เล่มที่ 2 เรื่อง การพูดไม่ชัด โดย คุณลินดา ปั้นทอง)

"ถ้าเด็กมีปัญหาตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ จะต้องทำอย่างไร"

คำตอบ เบื้องต้น ผู้ปกครองลองแก้ไขด้วยตัวเองก่อนได้ โดยการออกเสียงที่ถูกต้องให้เด็กฟัง แล้วเด็กออกเสียงตามช้าๆ จนเด็กออกเสียงได้เองอย่างถูกต้อง

แต่หากมีความผิดปกติที่โครงสร้างหรือการทำงานของอวัยวะที่ใช้ในการพูด หรือการรับฟังเสียง และกรณีที่ผู้ปกครองได้พยายามแก้ไขเองแล้วแต่ยังไม่ประสบความสำเร็จ ผู้ปกครองควรนำเด็กมาเข้ารับการตรวจและวินิจฉัยจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และส่งเด็กเข้ารับการฝึกพูด โดยนักแก้ไขการพูดค่ะ

"หากปล่อยให้พูดไม่ชัดต่อไปโดยไม่แก้ไข ... มีผลเสียอย่างไรบ้าง?"

คำตอบคือ เกิดปัญหาเรื่องการอ่านและการสะกดคำ ซึ่งจะส่งผลต่อการเรียนของเด็ก เมื่อโตขึ้นและต้องเข้าสังคม อาจโดนล้อเลียนจากคนรอบข้างทำให้เด็กขาดความมั่นใจ และหลีกหนีสังคมได้ค่ะ

คราวหน้า จะยังเป็นบทความ "เมื่อหนู...พูดไม่ชัด" แต่จะเป็น "วิธีแก้ไขเสียงพูดไม่ชัดที่พบบ่อย" ค่ะ

หากมีคำถามหรือข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ สามารถคอมเม้นท์ที่ใต้บทความได้เลยค่ะ ครูจะรวบรวมคำถาม เพื่อตอบในบทความต่อๆไป ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ

ฐิตวดี ชาญเมธี ครูก้อย
นักแก้ไขการพูด
โรงพยาบาลบีเอ็นเอช

ref : พญ.เสาวภา พรจินดารักษ์

การเลียนแบบ


ในพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตมีระบบสั่งการให้เราทำการเลียนแบบ

การเลียนแบบจึงเป็นไปโดยธรรมชาติ
วัยเด็กการเลียนแบบเกิดขึ้นโดยไม่คิดเยอะ...
แค่เห็นแล้วทำตาม...

เช่น เห็นแม่ทาลิบสติกก็ทำตามบ้าง...
ไม่รู้หรอกว่าแม่ทาไปทำไม? 

เห็นพี่ชายเล่นสมมติไขน็อต ก็ทำตามบ้าง....
ไม่รู้หรอกว่านี่คือการซ่อมอุปกรณ์

เด็กเลียนแบบโดยไม่คิดแค่เห็นก็ทำตาม....
ดังนั้น...
ระมัดระวังการทำพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม...
ระวังการเป็นต้นแบบของการใช้อารมณ์....

และขณะเดียวกันก็ควรอยู่กับลูกเพื่อเป็นต้นแบบที่เหมาะสม....
เพราะธรรมชาติของมนุษย์ต้องการต้นแบบ....

หากไม่มีใครอยู่เพื่อปฏิสัมพันธ์กับเขา....
เขาก็จะเลียนแบบการ์ตูนที่ดู...
เลียนแบบเพื่อนที่มีพาวเวอร์...
หรือตรงกันข้ามอาจยอมเพื่อนที่ดูมีอำนาจ....

อยากให้ลูกมีทักษะอะไร...
อยู่กับลูกและเป็นต้นแบบของทักษะนั้น
ด้วยการโคช...ไม่ใช่แค่อธิบาย
เพราะคนเราจะว่ายน้ำเก่ง...
ไม่ได้อยู่ที่คู่มือและคำอธิบาย
แต่อยู่ที่การลงมือ...และมีโคชที่ดี


วิธีให้กำลังใจเด็ก




วิธีให้กำลังใจเด็ก
1.เริ่มจากจุดเด่นที่เขามีอยู่แล้ว
2.อย่าตอกย้ำจุดด้วยหรือปมด้อย
3.แสดงความชื่นชมเขา
4.เป็นกันเองกับลูก
5.แสดงความรักต่อลูก
6.ถ้าจะให้เด็กทำอะไร ควรบอกเป็นขั้นๆ ทีละเล็กทีละน้อย
7.ใช่อารมณ์ขันช่วย
8.อย่างน้อยชื่นชมว่าเด็กพยายามทำ
9.ถ้าเด็กทำอะไรให้ท่านโกรธและไม่พอใจ ขอให้มีสติระลึกรู้เท่าทัน
10.เมื่อต้องการฝึกวินัยเด็ก อย่าใช้คำพูด ให้ลงมือกระทำแทนคำพูด
11.อย่าทำตัวยุ่งกับเด็กทุกเรื่อง
12.อย่าเฆี่ยนตีเด็ก
13.ศรัทธาและยอมรับลูกอย่างที่เขาเป็น
14.เข้าใจเขา
15.ศรัทธาใจตัวลูก
16.ต้องหัดมองโลกในแง่ดีให้มากขึ้น

ref : หนังสือสอนลูกให้มีวินัย

Friday, June 5, 2015

การเลี้ยงลูกแบบฝรั่ง



ก่อนอื่นขอบอกก่อนนะคะว่าเราไม่ใช่คุณแม่ และยังไม่คิดเรื่องจะมีลูกค่ะ ตอนนี้มีแต่หลาน
แต่ต้องขอตั้งประเด็นนี้ขึ้นมาเพราะว่าเราสังเกตถึงคำว่า"เลี้ยงลูกแบบฝรั่ง"ที่คนเข้าใจผิดๆว่า มันหมายถึง"ไม่ตี" "เลี้ยงแบบปล่อย" หรือว่า "ไม่สอน"

ต๊ายยยยค่ะ ฟังแล้วตกใจ มีที่ไหนคะไม่สอนลูก T_T การที่เค้าไม่ตีมันไม่ได้แปลว่าเค้าไม่สั่งสอนลูกค่ะ พ่อแม่แต่ละคนก็มีบทเรียนให้ลูกเรียนรู้หรือเข็ดโดยที่ไม่ต้องตี ครอบครัวเราก็เป็นคนต่างชาติค่ะ และการสั่งสอนเค้าก็คือการไม่ตีเหมือนกัน แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่มีบทเรียนอะไรเลยที่ทำให้ลูกหลาบจำ สังคมเราในต่างประเทศก็เตอคนที่มีวิธีอบรมสั่งสอนลูกที่ต่างกันไปค่ะ บางคนสอนได้ถึงขั้นที่เรีกว่า"เก๋"เลยทีเดียว

เราเลยอยากเอาประสบการณ์การเลี้ยงลูก หรือสอนลูกแบบต่างๆที่น่ารักๆของสังคมฝรั่งมาให้อ่านดูค่ะ เผื่อใครอยากนำไปใช้ก็ดีเหมือนกันค่ะ ^^

**ป.ล. เด็กแต่ละคนมีนิสัยไม่เหมือนกันนะคะ เราไม่การันตีว่าการสอนลูกแบบนี้จะใช้ได้กับเด็กทุกคน เราแค่มีเจตนาจะมาแชร์เรื่องราวน่ารักๆค่ะ


1. บทเรียนจากการขโมยของ

เริ่มเรื่องแรกก่อนเลย มาจากครูสอนวิชาpersonal financeของเราสมัยอยู่อเมริกาค่ะ ครูเป็นคนไอแลนด์นะคะถ้าจำไม่ผิด
ครูเล่าให้ฟังว่าตอนเด็กๆ ครูมักจะไปซื้อของกับแม่ตัวเองที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตเป็นประจำ โดยที่ครูจะนั่งที่ห้อยขาบนรถเข็นของซุปเปอร์ค่ะ และบางทีคุณแม่ก็จะวางกระเป๋าไว้ที่นั่งเด็กที่ครูนั่งอยู่เช่นกัน
วันนั้นแม่ครูได้เข็นรถผ่านแผนกของเล่นเด็กค่ะ ครูก็เลยหยิบตุ๊กตาตัวเล็กๆออกมา และวางลงบนตักตัวเองแล้วเอากระเป๋าปิดไว้!! แม่ครูก็ไม่รู้เรื่อง จ่ายตังค์แล้วก็พาครูกลับเข้ารถเพื่อที่จะกลับบ้าน
ระหว่างทางกลับบ้าน ครูก็หยิบตุ๊กตาออกมา "มามมี่ ดูซิ" จนทำให้แม่ครูตกใจมาก แล้ววนรถกลับไปที่ซุปเปอร์นั้นทันที สิ่งที่แม่ของครูทำคือ
ให้ครูนั้นเอาตุ๊กตาไปคืนที่ร้าน แล้วบอกว่าหนูขโมยไป หนูขอโทษ แล้วก็ต้องจุ๊บแก้มเจ้าของร้านเป็นการขอโทษ 5555 ครูบอกว่าหลังจากนั้นไม่กล้าขโมยของอีกเลยค่ะท่าน

คหสต.สำหรับเรื่องนี้นะคะ เราชอบที่แม่ให้ครูเอาของไปคืน โดยที่ไม่ได้ซื้อของชิ้นนั้นให้ครู เพราะที่เคยเจอมาบางคนจะรับผิดชอบโดยการจ่ายของชิ้นนั้นให้ลูก ลูกก็จะไม่ได้บทเรียนเพราะยังไงก็ได้ของอยู่ดี
หรือท่าทางร้านจะให้แม่ครูรับผิดชอบโดยการซื้อ ยังไงซะแม่ของครูก็จะไม่เอาของเล่นชิ้นนั้นให้ครูเพื่อเป็นบทเรียนค่ะ

2. สอนลูกทำงานแลกเงิน เก็บออม และไม่งอแงเวลาจะเอาของเล่น เรื่องนี้เราชอบมากๆๆเป็นการส่วนตัวค่ะ

เรื่องนี้เราได้มาจากครูคนเดียวกันค่ะ แต่เป็นเรื่องของครูกับลูกสาว
ครูบอกว่ามีลูกสาวอายุห้าขวบค่ะ แล้วครูก็ซื้อกระเป๋าสตางค์แบบห้อยคอให้ เวลาครูไปซื้อของ ครูจะให้ลูกสาวช่วยหยิบของออกจากรถเข็น เวลาอยู่บ้านก็จะให้ลูกสาวช่วยทำงานบ้านเล็กๆน้อยๆ เช่นเช็ดโต๊ะหลังกินข้าวเสร็จ เขี่ยเศษอาหารลงถัง หรือจัดรองเท้าให้เป็นระเบียบ
พอถึงหนึ่งอาทิตย์ ครูก็จะเอาเหรียญ 25 เซนต์ไปให้ลูก (ประมาณสิบบาท) แล้วบอกว่าขอบคุณสำหรับที่ช่วยแม่ทำงานบ้านนะ นี่คือรางวัล
โดยที่ครูจะเอาเหรียญไปใส่กระเป๋าห้อยคอให้ลูก แล้วก็ให้ลูกเก็บตังค์ไปเรื่อยๆ
เวลาไปร้านสะดวกซื้อ ลูกสาวครูเห็นของเล่นแล้วอยากได้ ครูก็จะบอกว่า "ซื้อได้นะ แต่ต้องเอาเงินในกระเป๋าที่หนูหามาซื้อเอง" ครูก็จะเปิดกระเป๋านับเงินให้ลูก แล้วถ้ามีไม่พอก็บอกว่า "แย่จัง ยังไม่ถึงเลย งั้นเดี๋ยวกลับไปช่วยแม่ทำงานบ้านแล้วพอเงินครบเราก็มาซื้อใหม่นะ" ลูกสาวครูก็จะเก็บเงินค่ะ
เป็นการสอนลูกไม่ให้งอแงเวลาอยากได้ของเล่น เพราะไม่ได้ห้ามซื้อ และยังสอนให้ลูกเก็บเงินไปในตัวและเรียนรู้ที่จะทำงานแลกเงิน (ขอบอกว่างานเบาๆสำหรับเด็กเล็กนะคะ ไม่ได้ทรมานลูกแบบลำยอง 555) ครูบอกว่าจากนั้นลูกก็ไม่เคยงอแงอีกเลยค่ะ แล้วตอนเก็บเงินครบก็จะไปซื้อของเล่นกัน โดยให้ลูกไปจ่ายตังค์ด้วยตัวเอง ลูกจะได้ภูมิใจว่าซื้อของให้ตัวเอง เอาเหรียญไปกองให้แคชเชียร์ช่วยนับ คนอื่นก็พากันเอ็นดู แล้วก็ได้ของเล่นกลับบ้านสมใจ

3. สอนให้ลูกทำอะไรเอง ช่วยตัวเอง

อันนี้มาจากการเลี้ยงดูของบ้านเราเองค่ะ ตอนเด็กๆเวลาล้มแล้วพ่อแม่เข้าไปโอ๋ เด็กก็จะร้องไห้ใช่ไหมคะ แต่ปั๊ปป้าของเราจะทำให้เราดูไม่น่าสงสารค่ะ เหมือนการล้มเป็นเรื่องปรกติ เค้าก็จะบอกว่า ง่วงแล้วเหรอ ลงไปนอนทำไมอะ ลุกขึ้นมาเล่นต่อสิ 5555 อันนี้จำได้แม่นเลย เพราะเราก็เอาไปแหย่หลานเราตอนล้มเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเวลาเราเจ็บตัวจะไม่ร้องไห้เลยค่ะ จะลุกขึ้นมาทันที
(บางทีถ้าเราหน้าเบ้ ปั๊ปป้าจะรีบวิ่งไปเป่า...พื้นค่ะ พื้นเจ็บมากมั้ย 555 แล้วเราก็จะหัวเราะแล้วเลิกร้องไห้ไปเอง)
เช่นเดียวกันกับการแต่งตัวกินข้าว ตอนเราอยู่อนุบาล เราอยู่ที่เมืองไทยค่ะ จำได้แม่นเลยว่าครูเคยชมว่าเราเก่งเพราะว่าแต่งตัวเองเป็นตั้งแต่เด็ก ใส่รองเท้าถูกข้าง เพราะว่าพ่อแม่เราไม่แต่งให้ค่ะ จะเอาชุดมาให้แล้วชี้ให้ดูว่าอะไรใส่ตรงไหน หลังจากนั้นเราก็ค่อยๆจำแล้วทำเอง
นมผงเหมือนกันค่ะ ตอนเด็กๆเราชงเองเป็น จำไม่ได้ว่าปั๊ปป้าหรือพี่เลี้ยงสอน ว่าใส่นมผงกี่ช้อน เอาน้ำใส่ขวดนม แล้วเขย่ากินเอง ซีลีแลคอะไรนี้ก็ผสมเองค่ะ ตอนเด็กๆจะชอบทำเองมากกว่าให้คนทำให้ เพราะเราผสมไม่ละเอียดแล้วจับเป็นก้อนแป้งเล็กๆหวานๆ ชอบ 5555
แล้วก็ไม่ค่อยอุ้มค่ะ ถ้าเราร้องเค้าก็จะปล่อยให้ร้อง ไม่โอ๋ ให้ร้องไปเรื่อยๆจนเราคิดได้ว่าร้องไปก็ไม่ได้อะไรแล้ว เค้าไม่อุ้มเราอยู่ดี หลังจากนั้นก็ไม่เคยร้องให้อุ้มอีกค่ะ
พี่สาวเราเคยเล่าให้เราฟังเหมือนกันว่าเคยหกล้มแล้วร้องไห้ ก็แหกปากนานๆ(ทั้งที่จริงๆไม่ได้เจ็บ) แม่ก็มีหันมาดูอยู่ แต่ไม่ได้วิ่งเข้ามาโอ๋ ทำเป็นไม่สนใจ สักพักพี่สาวก็เงียบแล้วลุกขึ้นมาเอง 555
ที่เรียนรู้ได้ตอนเด็กๆคือ อยากได้อะไรต้องทำเอง ไม่ใช่ร้องให้พ่อแม่มาทำให้ แล้วก็อย่าร้องไห้ขออะไรเพราะไม่เป็นผล


มีแค่นี้แหละค่ะ ประสบการณ์เราไม่ได้เยอะมาก แต่ก็อยากแชร์เรื่องของครูเพราะเราว่าข้อ2.เนี่ยเก๋จริงๆค่ะ

เฮียพี่ชา

ref : Pantip

ลูกท้องเสียต้องหยุดนมแม่หรือไม่?


คุณแม่ถามว่า "ลูกได้ 9 เดือนแล้วน้ำหนัก 11 กก สูง 75 cms กินนมแม่มาโดยตลอด หลัง 6 เดือนถึงเริ่มให้กินข้าวต้มบด ฟักทองต้มบด กล้วยครูด ทำแบบนี้มาตลอดจนกระทั่งอาทิตย์ก่อนลูกแอดมิดนอน รพ 4 คืน หมอบอกว่าไวรัสลงลำใส้ให้น้ำเกลือและฉีดยาฆ่าเชื้อ และงดนมแม่กินนมผงแทน ผลคือถ่ายห่างลง แต่หายใจครืดคราด ตอนนี้ลุกออก รพ แล้ว แต่ยังกินนมผงอยุ่ พอให้มากินนมแม่ลุกก็ท้องเสียอีก อยากให้ลูกกลับมากินนมแม่ได้อีกครั้งจะทำอย่างไรคะ"

คำตอบคือ ไม่จริงค่ะ

โรคไวรัสลงกระเพาะและลำไส้ (viral gastroenteritis) เกิดจากเชื้อไวรัสซึ่งมีหลายสายพันธุ์ที่ทำให้เกิดโรค ที่สำคัญและเป็นที่รู้จักกันมาก คือ เชื้อโรต้าไวรัส

การติดต่อของเชื้อไวรัส เกิดจากการสัมผัสกับสารคัดหลั่ง เช่น น้ำมูก น้ำลาย อุจจาระ จากการคลุกคลีกับผู้ป่วยโดยตรงหรือการสัมผัสสิ่งของที่มีเชื้ออยู่แล้วเอามือเข้าปาก

ระยะฟักตัวหลังการสัมผัสโรคจนแสดงอาการอาจใช้เวลาสั้นเพียงไม่กี่ชั่วโมงจนถึง 2 วัน เริ่มจากอาการปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ซึ่งเป็นนานประมาณ 1-5 วัน ต่อมาอาจมีถ่ายเหลว ซึ่งอาจเป็นอยู่ 2-3 วันหรือนานเป็นสัปดาห์ มักถ่ายเป็นน้ำ พบไม่มากที่อุจจาระอาจมีมูกเลือด มีไข้ต่ำๆหรือไข้สูงก็ได้

การนำอุจจาระมาให้หมอดูหรือส่งตรวจ อาจช่วยในการวินิจฉัย คือ หากตรวจพบเม็ดเลือดขาว และเม็ดเลือดแดงจากการส่องด้วยกล้องจุลทรรศน์ ส่วนใหญ่เป็นการติดเชื้อแบคทีเรีย หากตรวจไม่พบ อาจเป็นเชื้อไวรัสมากกว่า รพ.บางแห่งอาจมีวิธีตรวจที่จำเพาะกับเชื้อไวรัสโรต้า ทำให้ทราบข้อมูลละเอียดขึ้นเป็นประโยชน์ทางระบาดวิทยา หมออาจส่งอุจจาระเพาะเชื้อเพื่อช่วยในการรักษาในกรณีที่ไม่ดีขึ้นด้วยการรักษาเบื้องต้น จะได้ให้ยาได้ถูกต้อง

ในรายที่มีอาการอาเจียนหรือถ่ายเหลวรุนแรง มีอาการปวดท้องมาก หมอจะทำการตรวจร่างกายอย่างละเอียด เพื่อดูว่าอาจเป็นโรคอื่นที่มีอาการคล้ายกันหรือไม่ เช่น โรคไส้ติ่งอักเสบ โรคลำไส้อุดตัน โรคลำไส้กลืนกัน โรคแพ้นมวัว เป็นต้น

ทำอย่างไรเมื่อลูกป่วย

การดูแลเบื้องต้น คือ การให้ยาระงับอาการ เช่น ยาลดไข้ ยาแก้อาเจียน ยาแก้ปวดท้อง ยาขับลม

ยาแก้อาเจียน คือ Domperidone หรือ Motilium ขนาดยา คือ ครึ่งช้อนชา (2.5 ซีซี) ต่อน้ำหนักตัว 10 กก. ทานก่อนอาหารครึ่งชม. วันละ 3-4 ครั้ง ไม่ควรทานยาแล้วทานอาหารทันทีเพราะอาจอาเจียนได้อีก เนื่องจากยายังไม่ได้ดูดซึมเข้าร่างกาย

ยาแก้ปวดท้อง คือ Berclomine ให้ในรายที่มีอาการปวดเกร็งปวดบิด ขนาดยา เหมือนยาแก้อาเจียน แต่ทานหลังอาหาร

ยาขับลม คือ Simethicone แก้ท้องอืด ลดแก๊ส ทานครั้งละ 0.5-1 ซีซี ทุก 2-4 ชม

ให้อาหารอ่อนย่อยง่าย ครั้งละน้อยๆ เช่น ข้าวต้มครั้งละ 5-6 คำ แต่ให้บ่อยๆ ไม่เลี่ยนมัน งดของแสลงเวลาที่ท้องเสียจนกว่าอาการจะดีขึ้น เช่น ผัก ผลไม้ ไข่ นมวัว

ถ้ากินนมผงวัว ให้เปลี่ยนเป็นนมสูตรไม่มีน้ำตาลแล็คโต๊ส แต่ถ้ากินนมแม่หรือนมผงถั่ว ไม่ต้องเปลี่ยนนมค่ะ แต่ถ้าลูกไม่ยอมหยุดนมวัว อาจลองชงนมเดิมที่กินอยู่แต่ชงให้เจือจางกว่าปกติเท่าตัว (แต่มักหายช้ากว่าเปลี่ยนเป็นนมที่ไม่มีน้ำตาลแล็คโต๊ส) เมื่ออาการดีขึ้นก็ค่อยๆชงกลับมาเป็นสัดส่วนปกติ

สำหรับเด็กที่กินอาหารเสริมแล้ว หากชงนมวัวเจือจางแล้วยังมีอาการถ่ายเหลวไม่หยุด แต่ไม่ยอมทานนมถั่ว ให้เน้นทานข้าวต้ม หรือโจ๊กใส่เนื้อสัตว์เล็กน้อย และกินน้ำข้าวต้มใส่เกลือเล็กน้อย แล้วงดนมวัวไปได้เลย และเมื่ออาการดีขึ้นต้องค่อยๆกลับไปทานอาหารตามปกติ อย่ารีบร้อนเปลี่ยนกลับทันที เพราะอาจกลับไปท้องเสียใหม่ได้

ให้จิบน้ำเกลือแร่ ORS เพื่อทดแทนของเหลวที่เสียไป จะได้ไม่มีอาการอ่อนเพลียจากเสียสมดุลเกลือแร่ในร่างกาย ไม่ให้น้ำหวาน น้ำอัดลมหรือน้ำเกลือแร่สำหรับผู้เสียเหงื่อจากการเล่นกีฬาเนื่องจากความเข้มข้นของน้ำตาลที่มากเกินไป จะทำให้ท้องเสียมากขึ้น เนื่องจากน้ำตาลที่ระดับความเข้มข้นไม่เหมาะสมจะดึงน้ำออกจากเซลเยื่อบุลำไส้มากขึ้น

ในกรณีที่ลูกดูดนมแม่ สามารถให้ได้ตามปกติ ไม่ต้องงดค่ะ ยกเว้นถ่ายบ่อยกว่า 5 ครั้ง/วัน ให้ปั๊มนมส่วนต้นเก็บ เน้นให้ลูกกินนมส่วนท้ายจนกว่าอาการถ่ายจะดีขึ้น เพื่อลดปริมาณน้ำตาลแลคโต๊ส อย่าหยุดให้นมแม่นะคะ

คอยระวังก้นแดงจากการถ่ายบ่อย ต้องคอยเปลี่ยนผ้าอ้อมทันที อย่าแช่นาน และควรพาไปล้างก้นที่อ่างด้วยน้ำธรรมดา ไม่ต้องอุ่นและไม่ต้องใช้สบู่ เพราะจะทำให้ผิวหนังแห้งเป็นผื่นง่าย ไม่ควรใช้สำลีชุบน้ำหรือกระดาษเปียกเช็ดเพราะไม่สะอาดหมดจดและทำให้ผิวหนังถลอก อาจทาวาสลีนหรือปิโตรเลียมเจลเคลือบผิวบริเวณก้น เพื่อช่วยบรรเทาการระคายเคืองจากเศษอุจจาระจะช่วยป้องกันไม่ให้ก้นแดงได้ หากมีปัญหาผื่นแดงขึ้นแล้วให้ทาครีมทาผื่นผ้าอ้อมทาบ่อยๆ และไม่ใส่ผ้าอ้อมเพื่อให้ผิวหนังโดนอากาศจะได้หายเร็วขึ้น ถ้ายังไม่ดีขึ้น อาจเป็นเพราะติดเชื้อรา ให้ใช้ยากำจัดเชื้อรา เช่น Clotrimazole cream

ห้ามให้ยาหยุดถ่าย เช่น อีโมเดียมในเด็ก เพราะทำให้เชื้อโรคคั่งในร่างกายจนเป็นอันตราย หรือจะมีอาการปวดมวนท้องมากขึ้น

ควรพาลูกพบหมอ เมื่อลูกมีอาการดังนี้

ลูกยังอาเจียนอยู่ทั้งที่ทานยาแก้อาเจียนแล้ว

ไม่อาเจียนแล้ว แต่ก็ทานอะไรไม่ได้เลย ซึมลง อ่อนเพลียมาก

มีอาการของการขาดน้ำและปัสสาวะออกน้อย

ถ่ายอุจจาระมีมูกเลือด หรือกลิ่นแรงเหม็นคาว หรือถ่ายรุนแรงมากเป็นน้ำตลอดเวลา ควรนำอุจจาระไปโรงพยาบาลด้วย เพื่อส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการและเพาะเชื้อ

ทารกที่กินนมแม่จะได้สารป้องกันการติดเชื้อที่มีเฉพาะในนมแม่ เท่านั้น คือ IgG, macrophage, lysozyme, lactoferrin, ฯลฯ ทําให้เชื้อเข้าสู่ร่างกายได้น้อยลง อาการป่วยจะเป็นระยะสั้นกว่าทารกที่ไม่ได้กินนมแม่

ที่ทารกมีอาการท้องเสียนาน เป็นเพราะเยื่อบุลําไส้ถูกเชื้อโรค ทําลาย ทําให้ผลิตเอนไซม์ที่ใช้ย่อยแล็คโตสได้น้อยลง เมื่อกินแล็คโตส เข้าไปแต่ไม่ถูกย่อย จะไปดูดน้ําเข้ามาในลําไส้มากขึ้น เป็นสาเหตุให้ถ่ายเป็นน้ําจำนวนมาก

การแก้ไขภาวะท้องเสีย ไม่ใช่การรหยุดกินนมแม่ แต่ควรให้น้ำนมแม่ต่อ เพื่อให้ได้รับสารช่วยทำลายเชื้อโรค และ ได้รับสารอาหารที่จำเป็นสำหรับการซ่อมแซมลำไส้ ส่วนในกรณีที่ต้องการลดปริมาณแล็คโตสในนมแม่ ให้ใช้วิธีปั๊มนมหรือบีบนมส่วนหน้า ซึ่งมีแล็คโตสสูงออกไปเก็บไว้ก่อน (เก็บไว้ใช้ได้หลังจากหายดีแล้ว) เพื่อให้ลูกได้กินนมส่วนหลังซึ่งมีแล็คโตสน้อยกว่า หรือ ไม่ต้องเน้นให้ลูกกินนมมากเกินไป แต่เน้นให้กินอาหารที่ดูดซึมง่าย เช่น ข้าวต้ม หรือโจ๊ก ใส่เกลือเล็กน้อย กินน้ำเกลือแร่ กินผงแล็คโตบาซิลลัสเพื่อช่วยซ่อมแซมลำไส้ อาการท้องเสียจะดีขึ้นเร็วกว่าการเปลี่ยนไปใช้นมผงสำหรับท้องเสีย

การป้องกันไม่ให้ลูกติดเชื้
• ล้างมือให้สะอาดก่อนหยิบอาหารเข้าปาก
• ทานแต่อาหารที่ปรุงสุก ไม่มีแมลงวันตอม
• หลีกเลี่ยงการใกล้ชิดหรือสัมผัสสารคัดหลั่งจากผู้เป็นโรคและล้างมือทุกครั้งหลังสัมผัสโรค
• ในปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันไวรัสโรต้าซึ่งเป็นสาเหตุที่พบบ่อยของโรคนี้ในเด็กเล็ก เป็นวัคซีนชนิดรับประทาน ช่วยลดความเสี่ยงในการติดโรค หรือ ลดความรุนแรงลงได้
• ให้ลูกดื่มนมแม่ เพราะในนมแม่มีสารต้านไวรัสและแบคทีเรีย รวมถึงลดโอกาสการปนเปื้อนจากภาชนะที่ไม่สะอาด


ref : สุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ

การผ่าคลอดกับโอกาสเสี่ยงภูมิแพ้ของลูก



"การผ่าคลอดกับโอกาสเสี่ยงภูมิแพ้ของลูก"

ปัจจุบันนี้ มีผลวิจัยทางการแพทย์ว่า การผ่าคลอดทำให้เด็กมีความเสี่ยงต่อพัฒนาการภูมิต้านทานช้า มีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้มากกว่าเด็กคลอดตามธรรมชาติถึง 20 %
ทั้งนี้เพราะการคลอดธรรมชาติเด็กจะได้รับจุลินทรีย์สุขภาพผ่านทางช่องคลอดของแม่ เมื่อจุลินทรีย์สุขภาพผ่านลงมาทางเดินอาหารของทารกก็จะทำหน้าที่สำคัญในการพัฒนาระบบภูมิต้านทานของเขาตั้งแต่ลืมตาดูโลกเลย
เด็กที่มีระบบภูมิต้านทานดี ไม่เป็นภูมิแพ้ มีผลดีต่อสุขภาพระยะยาวของเขา เพราะโอกาสเจ็บป่วยจะน้อยกว่า และหากเมื่อร่างกายแข็งแรงก็ย่อมทำให้การเรียนรู้และพัฒนาการของเขาไม่ต้องสะดุด ขาดช่วงจากการเจ็บป่วย

นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยใหม่ที่ระบุถึงการใช้ยาปฏิชีวนะตั้งแต่ขวบปีแรกที่จะทำให้เด็กมีโอกาสเป็นภูมิแพ้ได้สูงขึ้นด้วย เพราะยาปฏิชีวนะจะไปทำลายจุลินทรีย์สุขภาพเหล่านี้
ดังนั้นการผ่าตัดคลอดหรือการใช้ยาปฏิชีวนะในช่วงขวบปีแรกของลูก ควรพิจารณาถึงข้อบ่งชี้ทางการแพทย์เป็นสำคัญ

อย่างไรก็ตาม เมื่อลูกคลอดออกมาแล้ว ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด นมแม่ถือเป็นสารอาหารที่ดีที่สุดของทารก
เพราะในนมแม่มีสารต่างๆมากมายรวมทั้งมีภูมิต้านทานโรคที่ลูกสามารถรับได้โดยตรงจากแม่ โอกาสป่วยก็จะน้อยลง การจะได้รับยาปฏิชีวนะก็จะน้อยลงด้วย และในนมแม่ก็ยังมีจุลินทรีย์สุขภาพ หรือโพรไบโอติก ผสมอยู่ รวมทั้งมีสารอาหารของจุลินทรีย์สุขภาพ หรือพรีไบโอติกด้วย ซึ่งทั้ง2อย่างนี้ทำงานร่วมกันเราเรียกว่า ซินไบโอติก ลูกจะได้พัฒนาระบบภูมิต้านทานอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้นการให้นมแม่อย่างเดียวจึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด แต่การจะให้ได้สำเร็จ เป็นเรื่องที่ต้องใช้ความพยายามและความอดทนของคนเป็นแม่อย่างมาก โดยเฉพาะหากท่านใดไม่ได้มีปริมาณน้ำนมมาก ครอบครัวและคนใกล้ชิดคือกำลังใจที่สำคัญ รวมทั้งบุคลากรทางการแพทย์ที่จะช่วยให้คนเป็นแม่ก้าวข้ามผ่านความยากลำบากนี้ไปให้ได้....

แต่หากทำทุกวิถีทางแล้วไม่สำเร็จอย่างที่คิดไว้ อย่าโทษตัวเอง อย่าจมอยู่กับความเครียด หากเราเกิดความกดดันต่อตัวเอง จนเกิดความทุกข์ ยิ้มกับลูกไม่ออก ลูกสัมผัสได้ถึงความเครียด อาจส่งผลต่อพัฒนาการด้านอารมณ์-จิตใจของเขา เราก็ควรต้องพิจารณานมเสริมแล้วหละค่ะ ...
เพราะเรา...ก็สู้มาอย่างเต็มที่แล้ว....
และลูกยังต้องการแม่เพื่อช่วยพัฒนาการด้านต่างๆของเขาด้วยนะคะ....

ที่มา ref : พญ.เสาวภา พรจินดารักษ์

Thursday, June 4, 2015

ลูกไม่ยอมกินอาหาร



เกร็ดความรู้เล็กๆวันนี้
ทำอย่างไรเมื่อลูกไม่ยอมกินอาหารที่พ่อแม่เลือกให้
เลี่ยงการบังคับให้ลูกกิน แต่
1. ลองจัดอาหารให้มีทั้งสิ่งที่ลูกชอบ และสิ่งใหม่ที่อยากให้ลูกลองมาอยู่คู่กัน ทำแบบนี้อย่างน้อย 15 ครั้งขึ้นไป!
2. ลองปล่อยให้ลูกได้เล่นกับอาหารใหม่ๆนั้นบ้าง ลูกจะได้คุ้นเคยกับอาหารนั้น
3. นั่งกินอาหารกับลูก และกินให้ลูกดู สร้างความสนุกและประสบการณ์ดีๆในการกิน
4. เลี่ยงการสร้างเงื่อนไขว่าลูกต้องกินอาหารใหม่นี้ก่อนที่จะได้กินขนม เพราะลูกจะกินเฉพาะเมื่อมีขนมมาให้เท่านั้น
5. เริ่มจากก้าวเล็กๆ และให้กำลังใจทุกก้าวไป เช่น แตะ --> หยิบ --> ดม --> เลีย --> กัด --> เคี้ยว --> กลืน โดยที่ลูกสามารถคายอาหารได้ทุกเมื่อ
6. คำนึงถึงเรื่องสุขภาพของลูกด้วย เช่น ปัญหาของระบบย่อยอาหาร ปริมาณสารอาหาร หรือ การตอบสนองทางประสาทสัมผัสที่ผิดปกติ เป็นต้น อาจปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับคำแนะนำเพิ่มเติม
ลองเอาวิธีเหล่านี้ไปปรับใช้ดูนะคะ

ที่มา : https://www.facebook.com/answerbyyok

เล่นดินทรายทำให้ฉลาด



พ่อแม่ที่ไม่ยอมให้ลูกเล็กเล่นกับดินกับทรายนอกบ้านเพราะกลัวจะสกปรก คงจะเปลี่ยนใจได้บ้าง เมื่อมีการศึกษาว่า แบคทีเรียในดินทราย ที่เด็กหายใจเข้าไป กลับจะทำให้สมองเด็กดีขึ้น

นักวิจัยของโครงการที่ปรึกษาสนามเด็กเล่น ที่อังกฤษ พบในการศึกษากับหนูทดลองว่า หนูที่ได้รับการป้อนให้กินแบคทีเรียไมโคแบคทีเรียน แวคแค  ซึ่งมีอยู่ในดินในทราย  กลับวิ่งในทางวงกตอันซับซ้อนได้เร็วกว่าหนูปกติถึง 2 เท่า

ผู้จัดการโครงการ เคต เปรเซอร์  กล่าวว่า  "เราต้องการให้สนามเด็กเล่นปลอดสะอาด  แต่ก็ควรจะรักษาความเสี่ยงบางอย่างเอาไว้เพื่อความสมดุล" เขากล่าวอีกว่า  "เป็นที่เชื่อว่า  แบคทีเรียพวกนี้ช่วยทำให้ระดับของซีโรโทนิน  อันเป็นฮอร์โมนที่สมองหลั่ง  ทำให้เกิดความสบายใจและกระตุ้นให้หน่วยประสาทบางแห่งในสมองเจริญเติบโต  เรียกได้ว่าเป็นยากล่อมประสาทของสมองเพิ่มขึ้น".

ที่มา : http://www.thairath.co.th/content/152177