Tuesday, July 7, 2015

ทฤษฎีพหุปัญญา


ทฤษฎีพหุปัญญา 
8 Multiple Intelligences 

ศาสตราจารย์โฮเวิร์ด การ์ดเนอร์ (Howard Gardner**) แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด เป็นผู้เสนอ "ทฤษฎีพหุปัญญา" (The Theory of Multiple Intelligences*) ซึ่งมีแนวคิดว่าความฉลาดของมนุษย์ แบ่งได้ 8 ด้าน 

ประกอบด้วยความฉลาดด้านภาษา (Linguistic) ความฉลาดด้านมิติสัมพันธ์ (Spatial)ความฉลาดด้านคณิตศาสตร์และตรรกะ (Logical-Mathematical) ความฉลาดด้านมนุษย์สัมพันธ์ (Intrapersonal)ความฉลาดด้านดนตรี (Musical)ความฉลาดด้านเข้าใจตนเอง (Interpersonal)ความฉลาดด้านร่างกาย (Bodily –Kinesthetic) ความฉลาดด้านรู้จักธรรมชาติ (Naturalistic)

ซึ่งแต่ละด้านต่างก็มีความสำคัญเท่าเทียมกัน เด็กทุกคนคือส่วนผสมของความฉลาดทั้ง 8 ด้าน การยึดถือตามความเชื่อเดิมๆ ที่นิยามว่า "เด็กเก่ง" คือ เด็กที่มีความฉลาดเพียงบางด้าน เช่น ด้านคณิตศาสตร์ ด้านภาษา นั้นอาจไม่เพียงพอตามหลักทฤษฎีพหุปัญญา (8 Multiple Intelligences)

หากแต่แง่คิดที่แฝงในทฤษฎีนี้เชื่อว่า เด็กแต่ละคนมีความฉลาดแต่ละด้านที่แตกต่างกันไป และมีรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะคน ดังนั้น คุณพ่อ คุณแม่ และคุณครูจึงควรพยายามค้นหาจุดเด่นของเด็กว่ามีความฉลาดทางด้านใดบ้าง และมีรูปแบบอย่างไร เพื่อทำความเข้าใจและสามารถช่วยส่งเสริมให้เขามีพัฒนาการตามแบบฉบับของเขาเองได้อย่างเหมาะสม

ความฉลาด 8 ด้านตามทฤษฎีพหุปัญญา (8 Multiple Intelligences)

1. ความฉลาดด้านภาษา (Linguistic)

เด็กที่มีความถนัดด้านภาษาสามารถเรียนรู้คำศัพท์ใหม่ๆ ได้อย่างรวดเร็ว พวกเขาสนุกกับการต่อคำศัพท์และเกมอื่นๆ ที่คล้ายคลึงกัน ในขณะเดียวกันก็ชื่นชอบโคลงกลอน เพลง และนิทาน เด็กกลุ่มนี้มีแนวโน้มที่จะเป็นนักพูดและนักเล่าเรื่องที่เก่ง

จุดเด่นของเด็กที่มีความฉลาดด้านภาษา คือ จำและคิดเป็นภาษาหรือคำศัพท์ อธิบายเรื่องที่เกี่ยวกับตนเองได้ดี

2. ความฉลาดด้านคณิตศาสตร์และตรรกะ (Logical-Mathematical)

ความฉลาดทางด้านนี้เกี่ยวกับความสามารถในการนำตรรกะมาแก้ไขปัญหา จำแนกสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างเป็นระเบียบแบบแผนได้ นอกจากนั้น ยังชื่นชอบการแก้โจทย์คณิตศาสตร์ และเรียนรู้ปรากฎการณ์ทางวิทยาศาสตร์ต่างๆ อีกด้วย เด็กที่ฉลาดทางด้านนี้จะชอบเล่นเกมส์ที่ต้องแก้ปัญหาทุกชนิด และสามารถเชื่อมโยงเหตุและผลของสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้อย่างไม่ยากเย็นนัก

จุดเด่นของเด็กที่มีความฉลาดด้านคณิตศาสตร์และตรรกะ คือ เชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างเหตุและผลได้ดี เมื่อเผชิญสถานการณ์ที่ซับซ้อน เด็กสามารถแยกแยะ จัดลำดับและเข้าใจรูปแบบของสิ่งที่เกิดขึ้น

3. ความฉลาดด้านดนตรี (Musical)

เด็กที่ฉลาดด้านดนตรีจะมีความว่องไวต่อเสียง และสามารถเชื่อมโยงระหว่างเพลงและเครื่องดนตรีได้ พวกเขามักจะชอบร้องเพลงและใช้เทคนิคในการเรียนรู้ผ่านบทเพลงและจังหวะต่างๆ ได้

จุดเด่นของเด็กที่มีความฉลาดด้านดนตรี คือ พวกเขามักหลงเสน่ห์ดนตรีและเสียงเพลงทำให้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตเป็นคำคล้องจองหรือเป็นแบบแผน ในขณะที่คนอื่นทำไม่ได้พวกเขาซึมซับและจดจำข้อมูลเป็นแบบแผนและบทกลอนหรือคำคล้องจอง

4. ความฉลาดด้านร่างกาย (Bodily-Kinesthetic)

ความฉลาดด้านนี้มีความหมายตรงกับชื่อ คือ เป็นเด็กที่แข็งแรง สามารถทำกิจกรรมและเคลื่อนไหวได้อย่างแคล่วคล่องว่องไว ชอบแสดงออก และสนุกกับกิจกรรมเกี่ยวกับศิลปะและงานฝีมือ

จุดเด่นของเด็กที่มีความฉลาดด้านร่างกาย คือ พวกเขาตอบสนองต่อสิ่งเร้าทางกายภาพได้ดีพวกเขาใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่และกล้ามเนื้อมัดเล็กได้อย่างยอดเยี่ยมพวกเขามักเคลื่อนไหวตลอดเวลาที่เรียนรู้ (ทำให้อาจดูเหมือนนั่งนิ่งๆ ไม่ได้)

5. ความฉลาดด้านมิติสัมพันธ์ (Spatial)

เด็กที่มีความฉลาดด้านนี้จะคิดและสื่อสารด้วยภาพ พวกเขาชอบเล่นเกมส์ต่อรูปภาพ เช่น จิ๊กซอว์ เปี่ยมล้นด้วยจินตนาการ และชื่นชอบงานศิลปะ นอกจากนี้ พวกเขายังจดจำทิศทางได้ดี และอ่านแผนที่เก่ง

จุดเด่นของเด็กที่มีความฉลาดด้านมิติสัมพันธ์ คือ เขาสามารถจัดการสิ่งต่างๆ ได้ในหัว และวิเคราะห์ได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเขาสามารถจินตนาการและสร้างโลกใหม่ขึ้นมาในความคิด (หรือฝันกลางวัน)เขาสามารถจัดการและเล่นสิ่งของต่างๆ ได้ดี และมีทักษะในการใช้มือที่ดี

6. ความฉลาดด้านมนุษยสัมพันธ์ (Interpersonal)

เด็กที่ฉลาดด้านนี้จะมีมนุษยสัมพันธ์ดีเยี่ยม พวกเขาจึงเป็นคนที่มีเพื่อนมาก ชอบทำงานร่วมกับคนอื่น และมีความสามารถในการเป็นผู้นำสูง

จุดเด่นของเด็กที่มีความฉลาดด้านมนุษยสัมพันธ์ คือ เขาชอบเล่นเป็นกลุ่มเขาสามารถนำผู้อื่นได้ดีเขาสนใจความรู้สึกและมักเห็นอกเห็นใจคนอื่น

7. ความฉลาดด้านเข้าใจตนเอง (Intrapersonal)

ในทางตรงกันข้าม เด็กที่เข้าใจตนเองชอบทำงานเพียงลำพัง พวกเขามักเป็นตัวของตัวเอง และแม้ว่าจะไม่ค่อยเข้าสังคม แต่พวกเขาก็เชื่อมั่นในความสามารถของตนและมีแรงจูงใจในการทำสิ่งต่างๆ

จุดเด่นของเด็กที่มีความฉลาดด้านเข้าใจตนเอง คือ พวกเขาเก่งในการทำงานให้ไปถึงเป้าหมายชัดเจนว่าตนเองชอบหรือไม่ชอบอะไรรักความยุติธรรม

8. ความฉลาดด้านรู้จักธรรมชาติ (Naturalistic)

เด็กกลุ่มนี้เป็นเด็กที่ชอบผจญภัยในโลกกว้าง (นอกบ้าน) มาตั้งแต่เด็ก จึงมักเห็นเขาชอบเตร็ดเตร่เพื่อสำรวจสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ พวกเขายังสนใจในเรื่องของต้นไม้และสัตว์ต่างๆ อย่างมาก

จุดเด่นของเด็กที่มีความฉลาดด้านรู้จักธรรมชาติ คือ สังเกตเห็นรูปแบบและคุณลักษณะเฉพาะของสิ่งมีชีวิตต่างๆชอบจัดระบบสิ่งของที่สะสมไว้มีความสามารถในการแยกแยะระหว่างสิ่งของในหมวดเดียวกันและสังเกตเห็นความแตกต่างเล็กๆ น้อยๆ

ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.ฉลาดรอบด้าน.com/intelligences.php

ขอบคุณภาพประกอบจาก อินเตอร์เน็ต

เราจะรู้ได้อย่างไรว่าลูกถนัดอะไร?

มีคำถามยอดฮิตจากพ่อแม่หลายๆท่านว่า "เราจะรู้ได้อย่างไรว่าลูกถนัดอะไร? "
คุณหมอจาก ชมรมจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นแห่งประเทศโทย มีคำตอบคร่าวๆดังนี้ค่ะ ...
หลายท่านคงอยากที่จะทราบว่า “แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าลูกของฉันจะถนัด หรือ ชอบ หรือ มีพรสวรรค์ในด้านใด”
มีคำตอบที่ง่าย และ สั้นที่สุด ก็คือพ่อแม่ต้อง “ สังเกต ” เอง !!!
โดยทุกท่านต้องลองสังเกตดูว่าลูกของเรานั้นทำอะไรแล้วมีความสุข มีสมาธิและความอดทน สามารถนั่งทำกิจกรรมนั้นๆได้นานไม่รู้เบื่อ
และ มีการพัฒนาอย่างรวดเร็วในเรื่องนั้นๆ โดย เผลอๆอาจจะแซงเด็กคนอื่นๆที่อยู่ในวัยเดียวกันอีกต่างหาก นั่นแหละครับ ให้สงสัยว่าใช่ไว้ก่อน
แต่สิ่งหนึ่งที่ท่านต้องพึงระวัง คือ ความชอบหรือความถนัดนั้นส่วนใหญ่จะเริ่มเห็นได้เด่นชัดเมื่อเด็กอายุเข้าสู่ช่วงท้ายของวัยอนุบาล (ประมาณ 4 ขวบขึ้นไป) เนื่องจากเป็นวัยที่พัฒนาการด้านต่างๆทั้งภาษา กล้ามเนื้อ อะไรต่อมิอะไร นั้นพร้อมที่จะทำกิจกรรมต่างๆ ประกอบกับเด็กในวัยนี้จะมีประสบการณ์ในการทำกิจกรรมต่างๆมาพอสมควร เช่น เขียนหนังสือ นับเลข วาดรูป ร้องเพลง เล่นกับเพื่อน ฯลฯ
และที่สำคัญมากที่สุดคือ เด็กในวัยนี้จะเป็นวัยที่ “ช่างเลือก” คือ บอกได้ว่าตัวเอง ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร อยากทำอะไร ไม่อยากทำอะไร ซึ่งจะทำให้ง่ายต่อการสังเกต
เคยมีผู้ปกครองหลายท่านมาบ่นให้ผมฟังว่า พยายามสังเกตมานานว่าลูกมีพรสวรรค์ด้านไหน แต่ไม่เห็นเจอเลย วันๆเห็นแต่นั่งดูการ์ตูนกับเล่น tablet” ก็ต้องขอเรียนว่านอกจากการสังเกตแล้ว การพาลูกออกไปทดลองทำกิจกรรมต่างๆนั้นก็มีความสำคัญ เพราะต้องอย่าลืมว่าเด็กเล็กๆเองก็ไม่รู้หรอกว่าในโลกนี้มันมีอะไรให้ทำบ้าง
ดังนั้นผู้ปกครองควร หาเวลาพาลูกๆออกไปทำกิจกรรมที่หลากหลาย เพื่อค้นหาความชอบและความถนัดของตัวเอง
ซึ่งหากถามว่าแล้วควรออกไปทำอะไรบ้าง ผมขอแนะนำว่าให้ทดลองตาม “ทฤษฏีพหุปัญญา (Multiple intelligences ของ Howard Gardner” ครับ
ซึ่งทฤษฏีนี้เค้าว่าไว้อย่างไร จะขอขยายความในครั้งต่อไป เพราะเดี๋ยวบทความจะยาวเกิน กลัวไม่มีคนอ่าน (5555) หรือ หากท่านใดใจร้อน ลองหาอ่านใน google ไปพลางๆก่อนได้ครับ
เนื่องจากเด็กแต่ละคนนั้นมีความถนัดและความชอบที่แตกต่างกัน ดังนั้นบ่อยครั้งที่ความคาดหวังของผู้ใหญ่นั้นมักจะไปขัดกับความถนัดและความชอบของเด็ก โดยเฉพาะในสังคมที่ผลิตคนแบบ “เสื้อโหล”
ดังนั้นการที่เรารู้ว่าลูกเราเป็นเด็กที่มีความชอบหรือความถนัดด้านไหนจะช่วยให้เราเข้าใจเขา เวลาที่เขางอแงหรือไม่อยากทำอะไรบางอย่าง เพราะบางครั้งมันเกิดจาก”ความไม่ถนัด” ไม่ใช่จาก “ความ ขี้เกียจ”
และที่สำคัญที่สุดคือเราไม่จำเป็นที่จะต้องเลี้ยงให้ลูกเก่งไปเสียทุกอย่างเพราะอย่าลืมว่าลูกเรานั้นเป็น”มนุษย์”ครับไม่ใช่ “ยอดมนุษย์”
ที่มา ชมรมจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นแห่งประเทศโทย
โปรดติดตามโพสต์ต่อไป เรื่อง ทฤษฏีพหุปัญญา Multiple intelligences ของ Howard Gardner +++

Wednesday, June 10, 2015

Brain Based Learning คือ ?



Brain Based Learning คือ การใช้ความรู้ความเข้าใจ
ที่เกี่ยวข้องกับสมอง เป็นเครื่องมือในการออกแบบ
กระบวนการเรียนรู้และกระบวนการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
เพื่อสร้างศักยภาพสูงสุดในการเรียนรู้ของมนุษย์...
.
การจัดการเรียนการสอนตามหลัก BBL
1. การจัดการเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ที่แท้จริงและถาวรนั้
จะต้องจัดให้ครบองค์ประกอบทั้ง 3 ส่วน ได้แก่ การรับรู้
การบูรณาการความรู้ และการประยุกต์ใช้ เพื่อเป็นการเชื่อมโยงความรู้สู่การปฏิบัติจริงในวิถีชีวิต
.
2. ครูผู้สอนจะต้องมีข้อมูล และรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล
คิด และจัดกิจกรรมเพื่อพัฒนาความถนัด/ความสามารถ
หรือความเก่งให้เก่งมากยิ่งขึ้น รวมทั้งการพัฒนาด้านอื่นๆ อีก
ให้มีความเก่งหลายๆ ด้าน เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้แสดงออก
ถึงความสามารถหรือความเก่งสู่สาธารณชน โดยอาจจัดเวที
ให้แสดงอย่างอิสระ
.
3. การจัดการเรียนการสอนที่ดี ครูต้องมีความเข้าใจทักษะ
ที่เกี่ยวโยงกับความสามารถพิเศษของสมองแต่ละซีก
สมองซีกซ้ายสั่งการทำงานเกี่ยวกับ คำ ภาษา ตรรก ตัวเลข/จำนวน ลำดับ ระบบการคิดวิเคราะห์ และการแสดงออก เป็นต้น สมองซีกขวาจะสั่งการเกี่ยวกับจังหวะ ดนตรี ศิลปะ จินตนาการ
การสร้างภาพ การรับรู้ การเห็นภาพรวม ความจำ
ความคิดสร้างสรรค์ เป็นต้น
.
4. ควรจัดเนื้อหาที่มีความหลากหลายครอบคลุมทุกมิติ
ของชีวิตมนุษย์ กระบวนการเรียนรู้มีลักษณะหลากหลายร่วมกัน
ในลักษณะผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง แหล่งการเรียนรู้หลากหลาย เช่น เรียนรู้จากสื่อธรรมชาติ จากคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่
จากแหล่งงานอาชีพของชุมชน จากการค้นคว้าทางเทคโนโลยี ฯลฯ
.
5. ในกระบวนการเรียนรู้นั้น ขณะที่ผู้เรียนเรียนรู้นั้น
อาจเป็นแค่การรับรู้ แต่ยังไม่เข้าใจ ความเข้าใจอาจเกิดขึ้น
ภายหลังจากที่ผู้เรียนสามารถมองเห็นถึงความหมาย
และความเชื่อมโยงสัมพันธ์กันถึงสิ่งต่างๆ ที่ตนเองรับรู้
จากแหล่งความรู้ที่หลากหลาย ในระดับที่สามารถอธิบาย
เชิงเหตุผลได้ ซึ่งบางครั้งการสอนในชั้นเรียนเมื่อจบลง
บางบทเรียนไม่สามารถทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้
เนื่องจากการสอนนั้นไม่สอดคล้องกับประสบการณ์เดิมของผู้เรียน
.
6. บางครั้งการจำเป็นสิ่งสำคัญและมีประโยชน์ แต่การสอน
ที่เน้นการจำไม่ก่อให้เกิดความเชื่อมโยงให้เกิดการเรียนรู้
และบางครั้งเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาความเข้าใจ ถ้าครูไม่ได้
ศึกษาลีลารูปแบบการเรียนรู้ของผู้เรียนแต่ละประเภทว่า
มีความชื่นชอบ ความถนัด วิธีการเรียนรู้ หลักการเรียนรู้
ที่มีประสิทธิภาพ และจัดกิจกรรมการสอนให้สอดคล้องกับ
ผู้เรียนแต่ละประเภท จะส่งผลต่อการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ
เช่นเดียวกัน
.
7. ครูจำเป็นต้องใช้กิจกรรมที่เป็นสถานการณ์ในชีวิตประจำวัน
ประกอบด้วย การสาธิต การทำโครงงาน ทัศนศึกษา การรับรู้
ประสบการณ์ด้วยการมองเห็นของจริง การเล่าเรื่อง ละคร
และการมีปฏิสัมพันธ์ต่อคนหลายๆ ประเภท การเรียนแบบ
มุ่งประสบการณ์ทางภาษาสามารถเรียนรู้ได้ในกระบวนการ
โดยผ่านเรื่องหรือการเขียน
.
8. ควรสร้างสถานการณ์และสิ่งแวดล้อมให้ปลอดภัย
เพื่อการเรียนรู้ โดยผ่านการเล่นแบบท้าทาย การเสี่ยง
ความสนุกสนาน เป็นสิ่งจำเป็นที่ทำให้เกิดการเรียนรู้
การถูกทำโทษอันเนื่องมาจากความผิดพลาดจะทำให้เป็นอุปสรรคต่อการเรียนรู้ ครูจึงไม่ควรลงโทษผู้เรียนในการเข้าร่วม
กิจกรรมที่ให้ผู้เรียนเผชิญกับสถานการณ์แวดล้อมที่กระตุ้น
การเรียนรู้
.
9. ผู้เรียนมีความแตกต่างกันเกี่ยวกับความสามารถ
ทางสติปัญญา ความสามารถความเก่งของมนุษย
คือ ทฤษฎีพหุปัญญา ความเป็นคนเก่งคืออะไร
มีคำตอบมากมายหลายรูปแบบ แต่สรุปรวมได้ว่า
คนเก่งคือผู้มีความสามารถด้านใดด้านหนึ่งเฉพาะด้าน
หรือหลาย ๆ ด้าน ที่แสดงออกถึงความสามารถได้อย่าง
เป็นที่ประจักษ์
.
ขอขอบคุณเนื้อหาที่เผยแพร่ค่ะ...
https://www.gotoknow.org/posts/427696

Tuesday, June 9, 2015

พ่อแม่รังแกฉัน


บาป 14 ประการของบิดามารดา โดย ว.วชิรเมธี

ขอบคุณภาพต้นฉบับ Workpoint1

สอนลูกให้รู้จักคุณค่าของเงิน



ไปพบกับ 20 ข้อ ที่ผู้ปกครองควรสอนลูก เรื่องของ "เงิน"

เมื่ออายุ 3-5 ขวบ
1. ให้เขารู้ว่า คนเรา ต้องการเงิน เพื่อซื้อสิ่งของ
2. ให้เขารู้ว่า คนเรา จะมีเงิน ต้องทำงานเพื่อแลกมา
3. ให้เขารู้ว่า บางครั้ง เราต้องรู้จักรอ ก่อนที่จะซื้ออะไรที่เราต้องการ
4. ให้เขารู้ว่า มันมีความแตกต่างระหว่าง สิ่งที่ต้องการ กับ สิ่งที่จำเป็น

เมื่ออายุ 6-10 ขวบ
5. ให้เขารู้ว่า บางครั้งเขาต้องเลือกว่าจะใช้เงินไปกับอะไร
6. ให้เขารู้ว่า การซื้อที่ดี ควรเปรียบเทียบราคาก่อนที่จะซื้อ
7. ให้เขารู้ว่า การสั่งซื้อทางออนไลน์อาจมีอันตรายและอาจแพงเกินจริง
8. ให้เขารู้ว่า การเอาเงินไปฝากธนาคาร มันปลอดภัย และให้ดอกเบี้ย

เมื่ออายุ 11-13 ปี
9. ให้เขารู้ว่า ทุกครั้งที่ได้เงินมา ต้องแบ่งบางส่วนมาเพื่อออม
10. ให้เขารู้ว่า การใส่รหัส บัตรเครดิต และข้อมูลส่วนตัว ออนไลน์ อาจถูกคนอื่นขโมยข้อมูลได้
11. ให้เขารู้ว่า การออมก่อน รวยกว่า จากพลัง ดอกเบี้ยทบต้น
12. ให้เขารู้ว่า การใช้บัตรเครดิต ก็คือการกู้เงินมาใช้

เมื่ออายุ 14-18 ปี
13. ให้เขารู้ว่า แต่ละมหาวิทยาลัย ค่าใช่จ่าย ค่าเทอม ไม่เท่ากัน
14. ให้เขารู้ว่า อย่าใช้บัตรเครดิตซื้อของที่ไม่มีปัญหาหาเงินมาจ่ายทีหลัง
15. ให้เขารู้ว่า มันมีภาษีนะ!!
16. ให้เขารู้ว่า ดีกว่าธนาคาร มันยังมีกองทุนรวม (*แปลงให้เข้ากับคนไทย)

เมื่ออายุ 19 ปีขึ้นไป
17. ให้เขารู้ว่า จงใช้บัตรเครดิตไม่ให้เกินเงินที่หาได้ในแต่ละเดือน
18. ให้เขารู้ว่า การทำประกัน เป็นเรื่องจำเป็น
19. ให้เขารู้ว่า ควรมีเงินออมฉุกเฉิน เพื่อให้ใช้จ่ายอย่างน้อย 3 เดือน ของรายจ่ายรายเดือน
20. ให้เขารู้ว่า เมื่อคิดจะลงทุน ควรคิดถึง ความเสี่ยง และ ค่าใช้จ่าย ที่จะตามมา

เนื่องสิ่งอื่นใด สอนให้เขาเป็นคนดี หาเงินด้วยวิธีสุจริต ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ด้วยนะครับ

ขอบคุณคำแปลจากคุณ Mr.Messenger
แปลจากบทความต้นฉบับใน moneyasyougrow.org

Saturday, June 6, 2015

การให้คำชมเชย


เรื่องเล่าจากห้องเรียนครูปุ้ม

หลายครั้งที่ผู้ปกครองอาจเห็นครูปุ้มหรือบทความต่างๆ พูดถึง หรือย้ำเตือนเกียวกับ “การให้คำชมเชย” เด็กๆ เมื่อเด็กๆ ทำดี มีพฤติกรรมที่เหมาะสม เพื่อให้พฤติกรรมนั้นคงอยู่ และเกิดขึ้นต่อไปสม่ำเสมอ

วันนี้ครูปุ้มจึงอยากแนะนำเทคนิคการให้คำชมเชยแก่เด็กๆ เพื่อให้คำชมนั้นมีประสิทธิภาพมากขึ้นค่ะ

::ระบุพฤติกรรมที่เด็กทำลงไปในคำชม::
เราควรบอกให้เด็กๆ ได้รู้ว่า พฤติกรรมไหน เป็นพฤติกรรมที่ดี แทนการให้คำชมแบบลอยๆ เช่น “เก่งจัง”, “ดีมาก” เพื่อให้เด็กรับรู้ได้ชัดเจน ตรงประเด็นว่า .. อ๋อ นี่ใช่มั้ย สิ่งที่หนูควรทำ
ยกตัวอย่างเช่น .. วันนี้หนูทำการบ้านเสร็จหมดแล้ว เก่งจังเลยค่ะ // โอ้โห! หนูทานข้าวเองหมดถ้วยเลย เยี่ยมมากค่ะ // แม่ชอบเวลาที่หนูแบ่งของเล่นให้น้องจังเลยค่ะ // คนเก่งของแม่ ช่วยแม่เก็บของสะอาดเอี่ยมเลย

::ชื่นชมที่การกระทำ แทนผลของการกระทำ::
เราควรให้คำชมเชยที่การกระทำของเด็กๆ มากกว่าผลงาน แม้ผลงานที่ออกมาจะยังต้องพัฒนาอีกมาก แต่อย่างน้อย การชื่นชมที่พฤติกรรมจะทำให้เด็กเกิดแรงจูงใจ มีความพยายามในการทำพฤติกรรมที่ดีเพื่อพัฒนาผลงานนั้นๆ ต่อไป เช่น “ว้าว แม่เห็นหนูพยายามใส่บล็อค เยี่ยมมากเลยค่ะ”

::คำชม คือ คำชม ไม่มีชมมาก ชมน้อย ไม่ต้องให้คะแนน ไม่ต้องมี “แต่” ::
สิ่งที่เด็กแสดงออกมา อาจจะไม่ได้สมบูรณ์แบบ 100% ซึ่งเราอาจจะเลือกเอาจุดดีของพฤติกรรมนั้นมาชมเชย และการที่เราให้คำชมแก่เด็กที่แสดงพฤติกรรมนั้นๆ นั่นหมายถึง เราเองได้พิจารณาแล้วว่า พฤติกรรมนั้นเป็นพฤติกรรมที่ดี ที่เหมาะสม เราไม่จำเป็นต้องให้เกรดพฤติกรรม หรือสร้างเงื่อนไขใดๆ เพิ่มเติม
ดังนั้น คำที่ควรหลีกเลี่ยง เช่น “หนูระบายสีสวยจัง แต่คราวหน้าควรใช้สีมากกว่านี้นะ” แต่อาจใช้เป็น “แม่ชอบที่หนูใช้สีชมพูกับดอกไม้และสีเขียวกับใบไม้จ้ะ”

::แสดงสีหน้า ท่าทาง และอารมณ์อย่างจริงใจ::
การแสดงออกทางสีหน้า เป็นการสื่อสารประเภทหนึ่งค่ะ ดังนั้น สีหน้าและอารมณ์ของเราควรจะไปด้วยกันกับคำชม เด็กๆ คงรู้สึกแปลก ถ้าพ่อหรือแม่กำลังชมเค้า แต่สีหน้าบึ้งตึง หรือ ปากชมแต่สายตาจับจ้องอยู่ที่สมาร์ทโฟนในมือค่ะ

::หลีกเลี่ยงการเปรียบเทียบในคำชม::
คนเราแต่ละคนมีความสามารถที่แตกต่างกันไป พฤติกรรมที่เด็กคนหนึ่งทำดี อาจพิจารณาเป็นจุดแข็งของเด็กคนนั้น ซึ่งเราควรหลีกเลี่ยงในการเปรียบเทียบสิ่งนั้นๆ กับคนอื่น
ดังนั้น คำที่ควรหลีกเลี่ยง เช่น “เก่งมากจ้ะ อีกนิดเดียวก็ระบายสีเก่งเหมือนพี่ชายแล้ว” แต่อาจจะใช้ว่า “แม่ภูมิใจที่เห็นหนูตั้งใจระบายสี” แทนค่ะ

ผู้ใหญ่อย่างเรายังรู้สึกดีเวลาได้รับคำชมจากหัวหน้างาน เพื่อน หรือคนในครอบครัว .... เด็กๆ ก็เช่นกันค่ะ 

ครูปุ้ม ฐิติพร สุวณิชย์
นักจิตวิทยาพัฒนาการ
โรงพยาบาลบี เอ็น เอช


เด็กพูดไม่ชัด



'อย่างไร...ที่เรียกว่า พูดไม่ชัด'

มีผู้ปกครองหลายท่านสงสัยว่า

"เด็กเล็ก หรือ เด็กที่เริ่มหัดพูด แต่มีการพูดไม่ชัดนั้น ถือว่าผิดปกติหรือไม่?"

คำตอบคือ ยังไม่นับว่า เป็นความผิดปกติค่ะ เพราะเป็นการพูดไม่ชัดตามธรรมชาติ และเมื่อเด็กเริ่มโตขึ้น โครงสร้าง กล้ามเนื้อ การทำงานของอวัยวะที่ใช้ในการพูด การฟัง การเรียนรู้ อายุและประสบการณ์ มีความพร้อมครบถ้วนแล้ว เด็กจะสามารถพัฒนาการพูดออกเสียงได้อย่างชัดเจน

"เกณฑ์ในการประเมินว่า เด็กพูดไม่ชัด เป็นอย่างไร"

คำตอบคือ การประเมินว่าเด็กคนใดพูดไม่ชัดและจำเป็นต้องได้รับการแก้ไข อาจใช้เกณฑ์ดังต่อไปนี้

อายุ 2 ปี ถึง 2 ปี 6 เดือน
เสียงพยัญชนะ ม น ห ย ค อ

อายุ 2 ปี 6 เดือน ถึง 3 ปี
เพิ่มเสียงพยัญชนะ ว บ ก ป

อายุ 3 ปี ถึง 3 ปี 6 เดือน
เพิ่มเสียงพยัญชนะ ฟ ต ท ด ล จ ง
เสียงสระ และเสียงวรรณยุกต์ ทุกเสียง

อายุ 3 ปี 6 เดือน ถึง 4 ปี
เพิ่มเสียงพยัญชนะ พ ช ส
และเสียงตัวสะกดทุกเสียง

อายุ 7 ปีขึ้นไป
เพิ่มเสียงพยัญชนะ ร

(ที่มา : ชุดเผยแพร่ความรู้ความผิดปกติของการสื่อความหมาย สมาคมโสตสัมผัสและการแก้ไขการพูดแห่งประเทศไทย เล่มที่ 2 เรื่อง การพูดไม่ชัด โดย คุณลินดา ปั้นทอง)

"ถ้าเด็กมีปัญหาตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ จะต้องทำอย่างไร"

คำตอบ เบื้องต้น ผู้ปกครองลองแก้ไขด้วยตัวเองก่อนได้ โดยการออกเสียงที่ถูกต้องให้เด็กฟัง แล้วเด็กออกเสียงตามช้าๆ จนเด็กออกเสียงได้เองอย่างถูกต้อง

แต่หากมีความผิดปกติที่โครงสร้างหรือการทำงานของอวัยวะที่ใช้ในการพูด หรือการรับฟังเสียง และกรณีที่ผู้ปกครองได้พยายามแก้ไขเองแล้วแต่ยังไม่ประสบความสำเร็จ ผู้ปกครองควรนำเด็กมาเข้ารับการตรวจและวินิจฉัยจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และส่งเด็กเข้ารับการฝึกพูด โดยนักแก้ไขการพูดค่ะ

"หากปล่อยให้พูดไม่ชัดต่อไปโดยไม่แก้ไข ... มีผลเสียอย่างไรบ้าง?"

คำตอบคือ เกิดปัญหาเรื่องการอ่านและการสะกดคำ ซึ่งจะส่งผลต่อการเรียนของเด็ก เมื่อโตขึ้นและต้องเข้าสังคม อาจโดนล้อเลียนจากคนรอบข้างทำให้เด็กขาดความมั่นใจ และหลีกหนีสังคมได้ค่ะ

คราวหน้า จะยังเป็นบทความ "เมื่อหนู...พูดไม่ชัด" แต่จะเป็น "วิธีแก้ไขเสียงพูดไม่ชัดที่พบบ่อย" ค่ะ

หากมีคำถามหรือข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ สามารถคอมเม้นท์ที่ใต้บทความได้เลยค่ะ ครูจะรวบรวมคำถาม เพื่อตอบในบทความต่อๆไป ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ

ฐิตวดี ชาญเมธี ครูก้อย
นักแก้ไขการพูด
โรงพยาบาลบีเอ็นเอช

ref : พญ.เสาวภา พรจินดารักษ์